วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

เรายิ้มรับความเศร้าได้

เรายิ้มรับความเศร้าได้





แม้ชีวิตจะลำเค็ญ แม้ว่าบางครั้งจะยิ้มได้ยาก
แต่เราต้องพยายาม...
อย่างเช่นเวลาเอ่ยทักทายให้พรกันว่า

"อรุณสวัสดิ์" ก็ต้องเป็น "อรุณสวัสดิ์" อย่างแท้จริง

ไม่นานมานี้มีเพื่อนคนหนึ่งถามฉันว่า
"ดิฉันจะเคี่ยวเข็ญให้ตัวเองยิ้มได้อย่างไร
ในขณะที่โศกเศร้า มันไม่เป็นธรรมชาติเลย"

ฉันตอบว่า
เธอต้องยิ้มรับความเศร้าให้ได้
เพราะเราเป็นมากกว่าความโศกเศร้า

มนุษย์คนหนึ่งเปรียบเสมือนเครื่องรับโทรทัศน์ที่มีนับล้านๆช่อง
เมื่อเปิดไปช่องพุทธะเราก็เป็นพุทธะ
หากเปิดไปช่องโศกเศร้า เราก็เป็นความโศกเศร้า

ครั้นเมื่อเปิดไปช่องยิ้ม
เราก็กลายเป็นความยิ้มแย้มได้จริงๆ
หาควรปล่อยให้ช่องใดช่องหนึ่งมีอิทธิพลครอบงำไม่

เรามีเมล็ดพันธุ์ที่จะเป็นได้ทุกอย่างอยู่ภายใน
เราต้องยึดกุมสถานการณ์ไว้ในกำมือให้ได้
เพื่อฟื้นอำนาจในตัวเราเองกลับคืนมา

สร้างสมาธิในการทำงาน

สร้างสมาธิในการทำงาน






เคล็ดลับในการสร้างสมาธิในการ ทำงาน

เลือกงานหิน

เลือกงานหินขึ้นมาหนึ่งงาน (ควรเป็นงานที่สำคัญที่สุดที่ต้องทำก่อน) แล้วตัดสินใจว่าจะทำให้เสร็จในรวดเดียว หรือว่าจะจำกัดเวลาเป็นเวลาเท่าไหร่ (เช่น ทำ 30 นาทีแล้วหยุดพัก)

สร้างพื้นที่การทำงาน

ก่อนเริ่มงานกำจัดทุกอย่างที่จะดึงความสนใจจากงานตรงหน้าออกให้หมด เช่น ปิดหน้าจอ ปิดมือถือเสียด้วย

เสียงเตือนตั้งนาฬิกาปลุก

หรือถ้าตั้งใจว่าจะทำไปจนกว่างานนั้นจะเสร็จ ก็พยายามทำสมาธิ อย่าพะวงเรื่องอื่นก่อนถึงกำหนดเวลา

เมื่อโดนขัดจังหวะจากงานอื่น

ถ้าเลี่ยงไม่ได้ให้จดโน้ตไว้ก่อน แล้วค่อยกลับมาจัดการทีหลัง

เกิดวอกแว่กอยู่ๆ

ดันอยากเช็คอีเมลขึ้นมา หรืออยากไปทำอย่างอื่นแทน ลองหายใจลึกๆ แล้วตั้งใจใหม่

งานด่วนเข้าแทรก

เกิดมีงานด่วนกว่าเข้ามาจริงๆ เลี่ยงไม่ได้ ก็ควรจะพยายามจดโน้ตไว้ว่าขณะนั้นทำงานมาถึงไหน ตั้งใจจะทำอะไรต่อไปก่อนโดนขัดจังหวะ แล้วจัดเก็บโน้ตนั้นกับงานไว้ด้วยกัน เมื่อกลับมาเริ่มใหม่ภายหลังจะได้ต่อติด

รีแลกซ์ด้วย

อย่าเครียดมากจนเกินไป ถ้ารู้สึกเครียดกับงานตรงหน้ามาก ให้หยุดพัก หายใจลึกๆ ยืดเส้นสายเสียหน่อย หรืออาจจะหยุดพักดื่มกาแฟ อย่าเข้มงวดกับตัวเองเกินไปนัก

ให้รางวัลหลังงานเสร็จหลังงานเสร็จ

ให้รางวัลกับตัวเองด้วยการเช็คอีเมลหรืออ่านบล็อกที่ชอบได้ ใครที่อยากมีสมาธิในการทำงาน ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้

ระวังปอดบวมหน้าฝน

ระวังปอดบวมหน้าฝน






ปอดบวมเป็นหนึ่งในโรคระบบทางเดินหายใจที่พบมากในช่วงหน้าฝน แต่ใครหลายคนอาจคิดว่าเป็นเพียงโรคธรรมดาโรคหนึ่งที่อยู่กับเรานาน แต่อันที่จริงแล้ว ปอดบวมถือเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนไทยในช่วงฤดูฝนไปเป็นจำนวนมาก

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ศ.เกียรติคุณ นพ.ธีรชัย ฉันทโรจน์ศิริ ประธานชมรมโรคระบบหายใจและเวชบำบัดวิกฤติในเด็กแห่งประเทศไทย บอกว่า สภาพอากาศชื้นและเย็น จะช่วยเอื้ออำนวยให้เชื้อโรคต่างๆ มีชีวิตอยู่ได้นานขึ้น ที่สำคัญยังพบว่า โรคปอดบวมเป็นโรคที่คอยผสมโรง และฉวยโอกาสจากผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ โดยเมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่ เยื่อบุโพรงจมูกและลำคอ จะระคายเคืองและถูกทำลาย ทำให้เชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัสซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าว หลุดลงไปที่ปอด และอวัยวะสำคัญอื่นๆ ซึ่งจะส่งผลให้อาการต่างๆ ทวีความรุนแรงมากขึ้นหลายเท่า จนอาจจะทำให้เสียชีวิตได้

สาเหตุของโรคปอดบวม

เกิดได้ทั้งจากการติดเชื้อไวรัส และเชื้อแบคทีเรีย โดยเชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัสถือเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญเพราะนอกจากจะก่อให้ เกิดปอดบวมรุนแรงยังสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ที่สำคัญและก่อให้เกิดโรคติดเชื้อรุนแรงได้ เช่นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคติดเชื้อในกระแสเลือดและหูอักเสบ เป็นต้น

ผู้ที่มีโอกาส เสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคปอดบวม

ได้แก่ เด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ขวบ แม้ว่าจะเป็นเด็กที่มีสุขภาพดีก็ตาม และผู้สูงอายุ ทั้งนี้จะยิ่งเสี่ยงสูงขึ้น หากเป็นผู้ที่เป็นโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคปอด โรคเบาหวาน และโรคเลือดซิกเคิลเซลล์ และในกลุ่มเด็กที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น ผู้ที่ตัดม้ามออก หรือม้ามทำงานไม่ปกติ ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี ก็จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น

ในเด็กเล็กซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคปอดบวมนั้น พ่อแม่ควรเฝ้าระวังและป้องกันอย่างใกล้ชิด ด้วยการดูแลสุขภาพของลูกให้แข็งแรง นอกจากนี้ต้องสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด เพราะเด็กเล็กยังไม่สามารถบอกกล่าวอาการเจ็บป่วยได้ด้วยตนเอง และบางครั้งมีโอกาสมีปอดบวมแทรกซ้อนได้ อาการสำคัญคือ มีไข้ ไอมาก หายใจเร็วกว่าปกติ หอบหรือหายใจลำบากจนซี่โครงบุ๋ม ซึ่งอาการดังกล่าวเป็นสัญญาณเตือนว่าลูกอาจเป็นปอดบวม ควรรีบพาไปพบแพทย์

การป้องกันคือ


ทำร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ ล้างมือบ่อยๆ ปิดปาก ปิดจมูกทุกครั้งที่ไอจาม และที่สำคัญที่สุดคือ การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับทารก เช่น เด็กเล็กควรเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพื่อให้มีภูมิต้านทานจากแม่ส่งผ่านไปลูกทางน้ำนม และการให้วัคซีน ซึ่งปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ หลายชนิด รวมถึงวัคซีนป้องกันโรคปอดบวม-โรคไอพีดีและวัคซีนไข้หวัดใหญ่

ผู้ชายชอบทำอะไรให้สาวหงุดหงิดใจ

ผู้ชายชอบทำอะไรให้สาวหงุดหงิดใจ




คุณว่า ความคิดของ ผู้ชายกะผู้หญิงเหมือนกันไหม?

ฮั่นแน่ เห็นส่ายหน้าก็แสดงว่า คำตอบคือ จะไปเหมือนกันได้ไง ใช่ม้า



อย่าว่าแต่ต่างเพศจะคิดไม่เหมือนกันเลย แม้แต่ต่างคนก็ยังต่างความคิด มีตัวอย่างให้เห็นเยอะแยะ แต่...แต่ มีผู้ชายบางรายนะท่าน ชอบคิดเอง เออเองบ่อยๆว่า สิ่งที่เขาเพียรพยายามปฏิบัติ กะแฟนสาวทุกวันนี้ เป็นการกระทำที่ยอดเยี่ยม ไร้เทียมทานเชียวนะ ทั้งที่ความจริงแล้วสาวๆ อาจไม่ชอบการกระทำ ของแฟนเธอไปซะทุกอย่างก็ได้นี่ จึงทำให้ เธอกระอักกระอ่วนใจ ไม่รู้จะบอกแฟนยังไงดี ว่าพฤติกรรมบางอย่างของเค้าไม่ได้น่ารักอย่างที่เขาคิดซะหน่อย แถมยังทำให้เดี๊ยนรำคาญใจซะด้วยซ้ำ

เอ้า งั้นเรามาเล่าสู่กันฟังดีกว่าว่า มีพฤติกรรมของฝ่ายชายอะไรบ้างน้าที่เขามักคิดเอง เออเองว่าแฟนสาวชอบในสิ่งที่เขาทำแบบนี้กับเธอแน่ๆ แต่ที่แท้ผู้หญิงปลื้มด้วยซะที่ไหน เช่น.....



1. เขาโทรศัพท์ไปหาเธอบ่อยเกินไป รึเปล่าจ๊ะ?

ทำไมการทำเช่นนี้จึงทำให้สาวๆเอือมระอาล่ะ-ก็โหโทรศัพท์ไปหาเธอซะถี่ยิบ เฉลี่ย 1 ชม. ต่อครั้ง หรือ 24 ครั้งต่อ 1 วัน โอ้ยโหยวมันน่าตื้บไหมล่ะ อยากคุยอะไรกันนักหนาเรอะ แถมโทร.ไปบ๊อยบ่อยยังทำให้เห็นว่าฝ่ายชายขาดความมั่นใจในตัวเองนี่หว่า หรือไม่งั้นก็หวาด ระแวงว่าเธอแอบมีกิ๊กมากกว่าอยากรู้จริงๆว่าเธอสบายดีเรอะเปล่าใช่ม้า

ควรทำอะไรแทนล่ะ-ทุกๆ 2-3 ครั้งที่ฝ่ายชายโทร.หาเธอ สังเกตสิว่า เธอเคยโทร.กลับมาไหม? ถ้าเธอโทร.กลับละก็ แสดงว่า เธอยังมีใจให้คุณอยู่ แต่ถ้าคุณโทร.ไปกี่ที กี่หน เธอไม่ยอมรับสาย แถมไม่โทร.กลับมาหาด้วย เอ้แล้วงี้ความพยายามของฝ่ายชายก็เสียเปล่าไปแล้วใช่มะ แต่ไม่เอาน่า อยากให้มองในแง่ดีว่า การที่หล่อนไม่รับสายหรือไม่โทร.กลับ เพราะเธอยุ่งอยู่กะงานหรือติดประชุมบ้างซี เอางี้ โทร.หาวันละครั้งสองครั้งก็พอแล้ว


2. ใช้วิธีร้องไห้ ทำเป็นขี้แงไปได้

ทำไมทำเช่นนี้ถึงย้อนกลับมาทำลายฝ่าย ชายล่ะ-เพราะการเสแสร้งแกล้งทำเป็นคนเซ้นซิทีฟ หรือจิตใจอ่อนไหวน่ะ แม้จะเก็บคะแนนจากสาวได้ ก็จริง แต่ก็เป็นดาบสองคม เพราะชายที่ทำตัวเป็นคนบ่อน้ำตาตื้น หรือชอบน้ำตาซึมหวังเรียกความสนใจน่ะ อาจทำให้เธอคิดก็ได้ว่าเขาเป็นคนอ่อนแอ, ไม่มั่นคงและหวังเป็นที่พึ่งไม่ได้ ชายแบบเนี้ยจะดูแลและปกป้องเธอได้ไง ผู้หญิงก็คิดเหมือนกันนะ

งั้นควรทำอะไรแทน-ถ้าหวังจะใช้ไม้ตายด้วยน้ำตานองหน้าละก็ ควรเก็บไว้ใช้อย่างฉลาดดีกว่า เพราะการเป็นคนเซ้นซิทีฟไม่ใช่ต้องร้องไห้ เสมอไป หนำซ้ำคุณยังโชว์ให้เห็นถึงความเป็นคนโรแมนติกด้วยวิธีอื่นก็ได้ เช่น เวลาไปช็อปปิ้งก็ช่วยเธอหิ้วของ หรือชวนเธอทานข้าวที่บ้านโดยคุณชายจะเป็นพ่อครัวเอง ไม่งั้นก็แอบซื้อของมาให้เป็นการเซอร์ไพรส์สิ รับรองเธอชอบแน่ๆ


3. ฝ่ายชายโชว์ออฟมากเกินไปรึเปล่า?

ทำไมทำเช่นนี้ถึงย้อนกลับมาทำลายฝ่ายชายเองล่ะ-อ้าว จำไม่ได้รึ กฎข้อที่ 1 อย่าทำอะไรให้เธออับอายในที่สาธารณะ เช่น พูดจาเกี้ยวพาราสี แถมมือไม้ อยู่ไม่สุขชอบแต๊ะอั๋งเธอในที่สาธารณะ, ดึงเธอมาจูบ, จุมพิตที่ฝ่ามืออะไรเงี้ย ที่จริงการแสดงความรักแบบนี้ก็น่ารักดีแต่ไม่ควรแสดงออก มากไป เพราะ เขารู้ได้ไงล่ะว่า เธอสนุกด้วยรึเปล่า เกิดเธอไม่สบายใจก็ซวยนะซี

งั้นทำอะไรแทนดีล่ะ-จริงอยู่ที่สาวบางคนชอบให้ฝ่ายชายแสดงความรักกับเธอ ในที่สาธารณะอย่างเปิดเผย แต่ก่อนที่หนุ่มจะแสดงบทบาทจี๋จ๋าก็ขอให้ดูตาม้าตาเรือมั่ง ไม่ใช่ข้านึกอยากทำอะไรก็ทำ ผู้ชายน่ะไม่อายที่จะแต๊ะอั๋งสาวอยู่แล้ว แต่ผู้หญิงนี่สิอาจคิดก็ได้ว่า ฉันกำลังถูกลวนลามนี่หว่า


4. งัดวิธีพูดแบบเด็กไร้เดียงสามาใช้ กะว่าทำงี้แล้วจะน่ารัก โอ๊ย น่ารักซะไม่มีอ่ะดิ

ทำไมถึงย้อนกลับมาทำลายฝ่ายชายเองล่ะ-เพราะมันดูดัดจริตและเสแสร้งน่ะซี แหมเล่นดัดเสียง แถมยังทำท่าเป็นเด็กไม่รู้จักโต แล้วน่าพิสมัยตรงไหนฟะ การทำตัวอะโหน่เน่ะยังทำให้สาวบางคนตระหนักขึ้นมาก็ได้ว่า ฉันอยากมีแฟนเป็นผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบมากกว่านี้ ไม่ใช่เฒ่าทารกซะหน่อย

งั้นควรทำอะไรแทนดี-ถ้าฝ่ายชายรักสนุกและอยากพูดจาเป็นเด็กๆก็ได้ แต่ควรทำ กิริยาแบบนี้เวลาเล่าเรื่องโจ๊กขำขันเถอะนะ ไม่งั้นก็ใช้ตอนที่สาวๆเป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดแบบเด็กๆขึ้นมาก่อนก็ได้ แบบว่า เธอเบ๋บี๋มา คุณก็ขี้จุ๊ เบ่เบ๊ เอ้ย เบบี๋กลับละกัน นี่สิถึงจะสมกันหน่อย


5. ฝ่ายชายเจ้ากี้เจ้าการให้สาวทำนู่น ทำนี่ เกินไปอ่ะเปล่า?

ทำไมถึงย้อนกลับมาทำลายฝ่ายชายเองล่ะ-เพราะการที่หนุ่มจุ้นจ้านเลือกหนังให้ดูด้วยกัน หรือบอกให้เธอตัดผมทรงนั้นทรงนี้สิ แล้วลงท้ายด้วยคำว่า เพราะผมชอบ อู้หู ขืนเป็นงี้ผู้หญิงคงอึดอัดใจน่าดู แหมทำอย่างกะเธอตัดสินใจอะไรเองไม่ได้งั้นแหละ

ควรทำอะไรแทน-ถอยหลังออกจากการเป็นคนชอบบงการซะสิ แล้วแสดงให้หล่อนเห็นว่า คุณมีความสามารถในการเลือกร้านอาหาร, หนัง และรายการโทรทัศน์ได้ตรงใจเธอบ่อยๆ อ้อ ควรปล่อยให้เธอตัดสินใจเองบ้างนะ อย่าเอาตัวเองเป็นที่ตั้งให้มากเกินไปนะเฮีย


6. เขาพูดอยู่นั่นแหละว่า รักเธอบ๊อยบ่อยรึเปล่า?

ทำไมถึงย้อนกลับมาทำลายฝ่ายชายเองล่ะ-เพราะผู้ชายมักคิดว่าการบอกรักหญิงบ่อยๆจะทำให้ เธอเป็นของตายสำหรับเขาน่ะซี แต่ตรงข้ามจ้ะพ่อหนุ่ม ถ้าคุณไม่เลือกเวลาหรือจังหวะจะโคนที่ดีเพื่อจะพูดว่าผมรักคุณละก็ ผู้หญิงก็ดูออกนะว่า คุณพูดส่งเดชไปงั้น ไม่ได้มีความหมายอย่างที่ฝ่ายชายพูดซะหน่อย ใช่ว่าสาวๆจะหลงใหลคำนี้จนไม่ลืมหูลืมตานะยะ


งั้นควรทำอะไรแทน-อย่าพูดคำว่ารักเพื่อประจบประแจงเธอหน่อยเลย แต่ควรพูดเมื่อคุณหมายความตามนั้นจริงๆ คือรักแท้แน่นอนแล้วค่อยพูด อย่าแหกตากันเลย รักไม่รักก็บอกซี.

● หลากหลายข้อคิด .. เพื่อชีวิตที่ดีกว่า ●

● หลากหลายข้อคิด .. เพื่อชีวิตที่ดีกว่า ●




ฟ้ามิได้แบ่ง ‘ยอดคน’ กับ ‘คนธรรมดา’ ออกจากกัน
ยอดคนจะปรากฏขึ้นเสมอแต่นั้นมิใช่เพราะ ‘ฟ้ากำหนด’ การที่ "ยอดคน"
ปรากฏขึ้นได้เพราะ เขาผ่านการ "ฝึกฝน" และ "เรียนรู้" ที่จะเป็นยอดคน
................................................................

"อัจฉริยะ" ไม่ใช่สัตว์ประหลาดที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
แต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิด
คนเก่งได้นั้นต้องได้รับการฝึกฝน ม้าดี ต้องมีคนขี่มาฝึกฝน ..
นักกีฬาที่ดีต้องมีโค้ทที่ดีมาฝึกฝน
....................…................................

Don't Look Down Yourself.
อดีตไม่สำคัญว่าเราเป็นใคร สำคัญที่ว่าวันนี้เราต้องการเป็นใคร
จงเคารพนับถือในความสามารถของตัวเอง ยกย่องและให้เกียรติตัวเอง
..................................…........................

สมองของคนเราเหมือนพื้นดินที่ว่างเปล่า
เมื่อเราปลูกอะไรลงไปเราก็จะได้ผลเป็นอย่างนั้น ... จงปลูกฝังแต่สิ่งดีๆ
ลงไปในสมองคำพูดใดๆ ที่เราเคยได้ยินซ้ำๆ ซากๆ เกิน 37 ครั้ง มันจะกลายเป็น
"อุปนิสัย" ของเราทันที
..................................…........................

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกคือ "สิ่งแวดล้อม" อย่าปล่อยให้ความคิดะ
หรือคำพูดของคนบางคนมาตัดสินชีวิตของเรา
ในโลกนี้ไม่มีใครมีอิทธิพลกับตัวเราเอง
นอกจากตัวเราเอง
......................................….....................

ชีวิตไม่ใช่เกมส์กีฬา ไม่มีเวลาพักครึ่ง ไม่มีการขอเวลานอก และที่สำคัญคือ
‘เปลี่ยนตัวผู้เล่นไม่ได้’ ไม่มีใครเกิดมา ‘ล้มเหลว’ มีแต่ ‘ล้มเลิก’
.........................................

คนฉลาด.. ต้องโง่เป็น คนโง่ไม่เป็น..จะไม่มีทางฉลาด
.........................................

เพียงคุณคิดว่าคุณทำได้ คุณก็ทำได้ตั้งแต่ที่คุณคิด
แต่หากคุณคิดว่าคุณทำไม่ได้
คุณก็ทำไม่ได้ตั้งแต่ที่คุณคิด สิ่งที่เลวร้ายที่สุดของมนุษย์
คือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ‘ทางจิต’ ที่ตอกย้ำตัวเองว่า .. ทำไม่ได้
………………………………………………………………………….

แม้แต่ "คิด" ยังไม่กล้าที่จะคิด แล้วชีวิตจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร?
จงกล้าที่จะเผชิญความล้มเหลว.. ความล้มเหลวคือครูที่ทดสอบตัวเรา
If you want to have success, you have no choice.
.......................................................................

มนุษย์ คือจุดศูนย์กลางของเส้นรอบวงที่ไม่มีขีดจำกัด .. ทำไม?
มนุษย์เหมือนกันจึงประสบความสำเร็จไม่เท่ากัน นั่นเป็นเพราะไม
มนุษย์แต่ละคนได้รับโอกาสทางความคิดที่แตกต่างกัน
................................................................

คนสำเร็จมองปัญหาเป็นโอกาส คนล้มเหลวมองโอกาสเป็นปัญหา
คนสำเร็จจะปรับตัวเองไปหาโลกภายนอกคนล้มเหลว จะให้โลกภายนอกปรับตัวเข้าหาตัวเอง
Team work is less ‘E-GO’ and more ’WE GROW’
.................................................................

คนสำเร็จระดับผู้บริหาร เป็นผู้นำขององค์กรต่างๆ ในโลกนี้ กว่า 85%
ทั่วโลกล้วนแล้วแต่มิใช่คนเก่ง แต่เป็นคนดีทั้งสิ้น คนเก่ง.. มักจะมี
‘อัตตา’
จะไม่ยอมปรับตัวเข้าหาโลก ไม่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น่
ไม่ยอมรับการพัฒนา..ความรู้ และสิ่งใหม่ๆ ‘ปกครองคนไม่ได้’ คนเก่ง..ใช้เวลา
2-3 ปี
ก็สอนให้เก่งได้ .. แต่.. คนดีต้องใช้เวลา ‘ชั่วชีวิต’ สอนกัน
คนเก่งมักจะขาดความจงรักภักดี ไม่มีความกตัญญู
......................................................................

"ความรู้" เป็นเพียง "พลังอำนาจแฝง" ชนิดหนึ่งเท่านั้น "ความรู้"
จะกลายเป็น "พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่" ได้ก็ต่อเมื่อมันถูกนำ ไปใช้อย่างชาญฉลาดเท่านั้น
............................……………………………………….

ฟัง..แต่..ไม่ได้ยิน ได้ยิน..แต่..ไม่เข้าใจ เข้าใจ..แต่..ไม่ลึกซึ้งั้นย
ลึกซึ้ง..แต่..ไม่แตกฉาน แตกฉาน..แต่..นำไปใช้ไม่เป็น !!!
จงนำศักยภาพและอัจฉริยภาพที่ซ่อนเร้นในตัวเรา มาใช้อย่างชาญฉลาด
.....................................................................

● ข้ออ้างยอดนิยม ●

● ข้ออ้างยอดนิยม ●







คนที่ไม่ประสบความสำเร็จในการทำสิ่งต่างๆนั้น
มักจะมีข้ออ้างเกิดขึ้นในจิตใจอยู่เสมอ
ข้ออ้างยอดนิยมที่หลายๆคนใช้กันมีดังนี้


1.ข้ออ้างเรื่องสุขภาพ เช่น คิดว่าสุขภาพของตนไม่ดีเท่ากับคนอื่นๆ จึงไม่กล้าลงมือทำอะไรแข่งกับคนอื่นและปล่อยชีวิตให้ผ่านไปวันๆอย่างไร้ประโยชน์ ทั้งๆที่ความเจ็บป่วยของร่างกายสามารถบรรเทาเบาบางได้ด้วยกำลังใจที่เข้มแข็งของเราเอง

2.ข้ออ้างเรื่องความฉลาด เช่น คิดว่าตนเองสมองตื้อ จำอะไรไม่ค่อยได้ หรือประเมินความสามารถของตนเองต่ำเกินไปจึงไม่กล้าที่จะลงมือทำอะไรที่สลับซับซ้อน
ซึ่งจริงๆแล้วทุกคนสามารถฝึกฝนสมองและความฉลาดปราดเปรื่องให้กับตนเองได้ ด้วยการศึกษาหาความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆเพิ่มเติมอยู่เสมอและจำให้ขึ้นใจว่า

"ความสามารถในการคิดมีค่ามากกว่าการท่องจำเหมือนที่ครั้งหนึ่ง ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของโลกเคยถูกคนลองภูมิด้วยคำถามว่า 1 ไมล์ มีกี่ฟุต ? เขาตอบว่า ผมไม่ทราบทำไม่ต้องมานั่งจดจำข้อมูลเหล่านี้ให้รกสมอง ในเมื่อผมสามารถค้นหาคำตอบได้ภายใน 2 นาทีจากหนังสืออ้างอิง"

3.ข้ออ้างเรื่องอายุ เช่น คนที่ชอบคิดว่าคงทำได้ไม่ดีเพราะแก่เกินไป หรือเด็กเกินไป
ซึ่งจริงๆแล้วทุกคนสามารถทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จได้ไม่ว่าจะมีอายุเท่าใด

4. เรื่องของโชค วาสนา
คนส่วนใหญ่มักโทษว่าตนไม่มีโชค เลยทำอะไรไม่สำเร็จ
ทั้งๆที่ทุกคนสามารถเอาชนะสิ่งต่างๆได้ด้วยสมองและความขยันหมั่นเพียรของตนเอง

ขอให้ทุกท่านโชคดี มีชีวิตที่ดีขึ้นทุกวัน

ความผิดหวัง บอกเรา...

ความผิดหวัง บอกเรา...






ความผิดหวัง บอกเราเรื่อง ความอดทน

เราสามารถเอาชนะความรุ่มร้อน และอ่อนแอได้

ถึงจะยาก แต่ถ้าตั้งใจอย่างจริงจัง วันนี้ยังมีทางแก้ไขได้

ความผิดหวัง บอกเราเรื่อง การค้นคว้า

เราสามารถเอาชนะความเขลา และเกียจคร้านได้

ถึงจะยาก แต่ถ้าจัดการกับตัวเองได้ วันนี้ยังมีทางสมหวัง

ความผิดหวัง บอกเราเรื่อง ความไม่ประมาท

เราสามารถเอาชนะความเผลอเรอ และหลงลืมได้

ถึงจะยาก แต่ถ้าฝึกฝน วันนี้ยังมีทางเป็นไปได้

ความผิดหวัง บอกเราเรื่อง การช่วยเหลือ

เราสามารถเอาชนะความใจแคบ และมีอคติได้

ถึงจะยาก แต่ถ้าเพาะความเมตตา วันนี้ยังไม่สายเกินไป

ความผิดหวัง บอกเราเรื่อง ความตั้งใจจริง

เราสามารถเอาชนะความหวั่นไหว และหวาดกลัวได้

ถึงจะยาก แต่ถ้าเริ่มต้น วันนี้ยังมีทางสำเร็จ